วันศุกร์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2554

panchalee's house: อาหารเป็นยา หุ่นดีเพราะกินแหลก

panchalee's house: อาหารเป็นยา หุ่นดีเพราะกินแหลก

อาหารเป็นยา หุ่นดีเพราะกินแหลก

หุ่นดีเพราะกินแหลก
 
          
หากมีท่านผู้อ่านท่านใดเคยพบเห็นหรือได้มีโอกาศทดลองโปรแกรมการลดน้ำหนักในสูตรต่างๆมามากมายหลากหลายสูตร คงได้คำตอบกันแล้วว่าหลังจากทดลองกันหน้าดำคร่ำเครียดสุดเหวี่ยง สุดท้าย...ก็กลับมาอ้วน อวบอั๋นกันเหมือนเดิม ท่านผู้อ่านที่รักอย่าเพิ่งมองวค้อนผู้เขียนว่านำคุยเรื่องแสลงใจเลยนะคะเนื่องจากว่าผู้เขียนเองก็เป็นหนูทดลองมาหลายสูตรด้วยตัวเองเช่นกันค่ะ(เมื่อสิบปีที่แล้ว)
          ในทุกสูตรของการลดน้ำหนักที่ได้พบเห็นมานั้นส่วนมากก็จะคล้ายๆกัน สูตรที่ดิฉันจะไม่ให้ความสนใจเลยคือสูตรที่ระบุเป็นตารางกำหนดว่าในแต่ละมื้อแต่ละวันต้องกินนั่น กินนี่ตามเวลาและให้ครบทุกอย่างเพราะทำให้ยุ่งยากมากเกินไปกับชีวิตประจำวัน  แต่สูตรที่ดิฉันถือว่าเป็นการลดน้ำหนักที่ตื่นเต้น สนุกสนานที่ได้ผจญภัยในการทดลองคือสูตร"หุ่นดีเพราะกินแหลก" ที่ดิฉันทดลองสูตรลดน้ำหนักสูตรนี้เพราะเกิดจากความสงสัยที่เขาบอกว่ากินไก่มื้อละหนึ่งตัวก็ไม่อ้วน กินขาหมูมื้อละขาก้ไม่อ้วน ทำให้ต่อมขี้สงสัยของดิฉันทำงานทันที(ที่จริงก็อยากกินอยู่แล้ว)เมื่อทำการศึกษาขั้นตอนและวิธีการเข้าใจดีแล้วดิฉันก็จัดเตรียมหาซื้อไก่ หมู และขาหมูที่เขาบอกว่ากินเท่าไหร่ก็ได้ไม่อั้นๆ แต่มีข้อแม้ว่าในแต่ละวันห้ามกินอาหารประเภทแป้งและน้ำตาลรวมทั้งผัก-ผลไม้ทุกชนิดโดยเด็ดขาด นั่นคือผู้ที่เข้าโปรแกรมนี้จะต้องกินแต่เนื้อสัตว์ล้วนๆและไข่เท่านั้น ส่วนจะมีวิธีทำเป็นเมนูใดๆก็ตามแต่ต้องอยู่ในกฏข้อห้ามที่กำหนดไว้ค่ะ
          ในวันแรกๆที่เริ่มเข้าโปรแกรมลดน้ำหนักด้วยการกินแหลกนี้ ในใจดิฉันก็ยังหวั่นๆเพราะคิดไปว่าจะเป็นไปได้หรือที่เราจะกินไก่เป็นตัวๆได้โดยไม่ทำให้อ้วนแถมยังจะทำให้เราผอมลงได้อีก!!! แต่ก็ตัดสินใจทดลองทำตามสูตรอย่างตั้งใจ โดยเริ่มจากกินไก่นึ่งอย่างเดียวเป็นมื้อแรกและสับเปลี่ยนเวียนหมุนเป็นหมู เป็นปลา และมีบางมื้อที่ต้องออกไปทำงานก็จะเตรียมเป็นไข่ต้มเพื่อความสะดวก สูตรหุ่นดีเพราะกินแหลกนี้ก็ดีตรงที่อยากกินเนื้อสัตว์อะไรก็กินได้ดั่งใจ ไม่ต้องคำนึงถึงไขมันหรือโปรตีนทำให้รู้สึกสนุกกับการทดลองนี้ แต่ดิฉันก็ไม่เคยสามารกินไก่ได้ครั้งละตัวหรือกินขาหมูได้เป็นขาเหมือนที่เขาเชิญชวนสักมื้อเลยค่ะ 
          สามวันผ่านไป...น้ำหนักของดิฉันก็ลงมาถึง1กิโล!!! โอ้โห...เป็นไปได้หรือนี่? 
          พอหลายวันเข้าดิฉันก็เริ่มกล้าและสนุกสนานกับการกินที่โลดโผนนี้ แต่ก็แข็งใจไม่แตะต้องอาหารต้องห้ามที่เป็นกฏเหล็กที่เขาบอกไว้ว่า...ความพยายามที่ทำมาทั้งวันจะไร้ค่าหากว่าเราเผลอกินผักใดๆหรือแม้แต่แตงกวาเข้าไปเพียงลูกเดียว  น้ำหนักตัวที่ลดลงอย่างต่อเนื่องทั้งที่ดิฉันเองสนองความอยากกินและอยากรู้อยากเห็นเป็นอะไรที่แปลกใหม่ สนุกสนานน้ำหนักตัวของดิฉันลดลงไปถึง3กิโลเมื่อทดลองสูตรนี้ผ่านไปหนึ่งเดือน...ความรู้สึกว่าเบื่อเนื้อสัตว์ก็เริ่มมีเข้ามาบ้างพร้อมๆกับเริ่มที่จะคิดถึงเมนูผักและผลไม้กรอบๆหวานๆ(โดยเฉพาะส้มตำ)แต่ก็ยังตั้งมั่นอยู่ในกฏของสูตรนี้ด้วยคิดว่าเราน่าจะผอมลงกว่านี้อีกสักหน่อย พอสมใจแล้วค่อยออกจากสูตรกลับไปกินอาหารปกติเมื่อไหร่ก็ได้
          แต่ความสนุกสนานก็เริ่มเป็นการผจญภัยสำหรับการทดลองนี้... เวลาผ่านเข้าสู่เดือนที่สองได้สักสิบกว่าวัน ตอนนั้นน้ำหนังลงมาทั้งหมดรวมแล้วร่วม5กิโล ดิฉันเริ่มมีอาการปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อทุกส่วน อาการปวดเมื่อยนี้จะเป็นไปทั้งตัวจนนอนไม่หลับ ทายาแก้เมื่อยแก้ปวดอย่างไรก็ไม่บรรเทานับวันอาการก็น่าเป็นห่วงเพราะก่อนนอนดิฉันต้องให้เด็กที่บ้านคอยทายาและนวดคลีงให้จนกว่าดิฉันจะหลับแต่ก็ไม่หลับสนิทเลยสักวัน  ดิฉันก็พยายามศึกษาหาสาเหตุของอาการปวดเมื่อยนี้ว่ามาจากอะไร จะว่ามาจากการทำงานก็ไม่ใช่เพราะงานที่ทำอยู่นั้นก็ไม่ได้ออกแรงหรือต้องใช้กล้ามเนื้อส่วนใดให้ต้องปวดเมื่อย
          ด้วยนิสัยใฝ่รู้ใฝ่หาเรื่อง(ใช้คำให้ดูดี)ดิฉันจึงพยายามประมวลหาสาเหตุต่างๆของอาการที่เป็น และก็ได้พบกับข้อมูลของแพทย์แผนไทยที่เป็นข้อมูลเกี่ยวข้องกับการกินอาหารให้ถูกกับกรุ๊ปเลือด และยังมีบทความที่เกี่ยวกับอาหารที่ถูกกับธาตุเจ้าเรือนอีกด้วย  เมื่อศึกษาทบทวนไปมาหลายๆข้อมูลดิฉันได้พบกับบทความทางการแพทย์แผนปัจจุบันเรื่อง"ภาวะเลือดข้น"หรือภาษชาวบ้านเรียกว่าเลือดหนืด เมื่อได้อ่านบทความทางการแพทย์เรื่องนี้ดิฉันก็ถึงบางอ้อ...ถึงอาการปวดเมื่อยที่กำลังเป็นอยู่นี้ก็ไม่ได้เหนือการคาดเดาแต่ต้นเลยว่าคงมาจากการกินแต่เนื้อสัตว์ในสูตรลดน้ำหนักสูตรที่ทดลองอยู่นั่นเอง
          ภาวะอาการเลือดข้นทำให้เลือดไหลเวียนไม่สะดวกคือเหตุแห่งปัญหาของอาการปวดเมื่อยจนนอนไม่หลับ สาเหตุของเลือดข้นที่พบกันมากยังมีส่วนเกี่ยวข้องกับความเจริญซึ่งทำให้เรานอนดึกพักผ่อนน้อย ,ระดับน้ำตาล (โรคเบาหวาน) , ไขมัน (โรคไขมันในเลือด) และสารอื่น ๆ ในเลือดเพิ่มสูงขึ้น ...เมื่อได้ข้อมูลจากหลายสถาบันดิฉันจึงตัดสินใจเลิกกินอาหารตามสูตรหุ่นดีเพราะกินแหลกนี้ในทันที และอีกสองวันต่อมาดิฉันก็หายจากอาการปวดเมื่อยหลุดพ้นจากที่ทนทรมานมาเกือบสิบวันและได้บทเรียนให้กับการกินที่ผิดธรรมชาติว่ามีผลดีและผลเสียอะไรบ้าง  

          หากใครก็ตามได้เคยศึกษาว่ากรุ๊ปเลือดของเราแต่ละคนมีความสมดุลย์กับอาหารประเภทใดบ้างคงเข้าใจได้ถึงสาเหตุที่ก่อให้เกิดอาการข้างเคียงในการบริโภคอาหารนะคะ  ส่วนดิฉันได้ข้อดีจากการผจญภัยในครั้งนั้นจึงเก็บมาเล่าสู่ท่านผู้อ่านในวันนี้ ก็ต้องขอขอบคุณเจ้าของสูตรที่คิดค้นและทดลองพร้อมกับนำออกมาเผยแพร่ ส่วนใครจะนำไปใช้ได้ผลหรือไม่อย่างไรนั้นคงต้องดูจากสภาวะของแต่ละคนเป็นหลัก แต่ในกรณีของดิฉันเองนั้นเป็นคนมีเลือดกรุ๊ปเอซึ่งไม่เหมาะกับการกินเนื้อเนื้อสัตว์เป็นหลักอยู่แล้วจึงอาจเป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดอาการข้างเคียงดังที่ได้เล่ามาทั้งหมดนี้ค่ะ อะไรที่มันเกินขอบเขตของคำว่าพอดีมันก็คงมีอะไรที่ไม่ดีตามมา
 
          ยังมีผู้รักสุขภาพอีกหลายคนที่มีความเชื่ออยู่กับการลดน้ำหนักด้วยการกินหารเจหรืออาหารมังสะวิรัติว่าเป็นอาหารที่ทำให้สามารถลดน้ำหนักได้ และเมื่อเกิดความรู้สึกว่าอึดอัดรัดติ้วขึ้นมาคราใดก็จะนึกถึงอาหารสองประเภทนี้ก่อนเป็นอันดับแรก แต่เมื่อกินอาหารทั้งสองประเภทนี้ไปสักระยะก็ต้องมีคำถามตามมาว่า...ทำไมฉันยังอ้วน?  และเมื่อชั่งน้ำหนักตัวเลขที่ตาชั่งก็มีแนวโน้มว่าจะอ้วนกว่าตอนที่ยังกินอาหารปกติเสียอีกด้วย
           มีนักบริโภคอาหารเจอีกกลุ่มหนึ่งที่เรามักแซวกันให้ได้ยินบ่อยๆนั่นคือ"เจเขี่ย" กลุ่มนี้จะเป็นกลุ่มที่ไม่ยึดติดอะไรมากนักแค่มีความรู้สึกว่าไม่ต้องการกินเนื้อสัตว์จะด้วยเหตุผลเพราะไม่เบียนสัตว์หรือเพื่อสุขภาพก็ตาม เมื่อต้องกินอาหารร่วมกับคนอื่นเขาก็จะใช้วิธีเลือกตักแต่ผักหรือเต้าหู้มาใส่ในจานอาหารของตนเอง หรือหากเป็นอาหารที่สำเร็จมาแล้วเขาก็จะใช้ช้อนเขี่ยหรือแยกเนื้อสัตว์ออกมาไว้ที่ข้างจานนั่นเอง
          แล้วทำไม...ทำไม...อาหารเจหรืออาหารมังสะวิรัติที่ใครว่าดีนักดีหนาจึงไม่ทำให้ผู้ที่อยากลดน้ำหนักสมหวัง  จากการที่ดิฉันมีประสพการณ์ตรงในการใช้อาหารมังสะวิรัตและอาหารเจเป็นทางเลือกในการดูแลสุขภาพจนได้พบว่า...การกินอาหารทุกชนิดเข้าไปไม่ว่าจะเป็นอาหารประเภทไหนก็ตามทุกสิ่งล้วนให้พลังงานกับร่างกาย แต่พลังงานเหล่านั้นจะสะสมได้มากหรือน้อยต่างกันไปเท่านั้น  และหัวใจของการลดน้ำหนักไม่ได้ขึ้นอยู่กับการที่เรากินมากหรือกินน้อยเพียงเท่านั้นต้องควบคู่ไปกับการเผาผลาญพลังงานคู่กันไปด้วย หากเราต้องการพลังงานวันละ2พันแคลลอรี่เราก็กินอาหารที่ให้พลังงานแค่นั้นต่อวัน  แต่เราไม่มีการเผาผลาญพลังงานที่มีสะสมอยู่น้ำหนักตัวและไขมันที่เกินมาก็ยังอยู่คงเดิม
          อาหารเจหรืออาหารมังสะวิรัติในปัจจุบันแตกต่างไปจากเมื่อก่อนนี้มาก ยกตัวอย่างเช่น เมื่อก่อนนี้นักปฏิบัติเขาจะเตรียมตัวฝึกใจและกายรวมถึงจัดเตรียมวัฒถุดิบให้พร้อมก่อนจะถึงวันจริงที่ต้องถือศีลกินผัก  จึงทำให้สามารถทานอาหารที่จำกัดทั้งปริมาณและประเภท ต่างจากยุคนี้สมัยนี้ที่นักปฏิบัตหรือนักกินมังสะวิรัติไม่สะดวกในการเตรียมพร้อมแถมยังต้องใช้บริการอาหารสำเร็จจากร้านที่ทำอาหารเจขายจึงยิ่งทำให้ทางเลือกของนักกินเจและมังสะวิรัติน้อยลงอีกด้วยค่ะ
สถานที่ให้บริการอาหารช่วงเทศกาลกินเจจึงเน้นที่จะจัดเตรียมอาหารไว้รองรับเราด้วยอาหารที่ปรุงจากเนื้อสัตว์เทียมที่อุดมไปด้วยแป้งและโปรตีนจากพืชมาปรุง
          นอกจากลูกชิ้นเจ ไก่เจ เป็ดเจ หมูยอเจ ใส้กรอกเจ หมูแดงเจที่ปรุงแต่งให้มีรสและกลิ่นมาเอาใจนักกินแล้ว  อาหารปรุงแต่งเหล่านั้นล้วนแล้วแต่ทำมาจากแป้งเป็นหลักทั้งหมดทั้งสิ้น และเรายังนิยมกินแป้งทอดกรอบ โปรตีนทอด เต้าหู้ทอด ผักชุบแป้งทอด เห็ดทอด สาหร่ายทอดกรอบ ถั่วทอด ปาท่องโก๋ ซาลาเปาทอด หรือกาน่าฉ่ายที่มีผักกาดดองใส่ลูกสมอดองนำมาผัดในสูตรที่ต้องใส่น้ำมันจนท่วมอุดมไปด้วยน้ำมันพืชและน้ำมันงา สิ่งเหล่านี้นั่นเองที่ทำให้อาหารทางเลือกในการลดน้ำหนักของเราไร้ผล จากประสพการณ์ตรงของดิฉันเองได้ทดลองจนแน่ใจแล้วว่าอาหารเจหรืออาหารมังสะวิรัติไม่ว่าจะสูตรไหนหากนำมาปรุงให้ถูกหลักโภชนาการที่ดีเน้นให้เป็นธรรมชาติให้มากที่สุดสามารถควบคุมน้ำหนักได้จริงๆค่ะ แต่ดังที่ได้กล่าวมาแล้วว่า...อะไรก็ตามที่เรานำมันเข้าปากแล้วกลืนกินเข้าไปในร่างกายล้วนให้พลังงานแก่เราทั้งสิ้น อยู่ที่เราแล้วว่าจะบริหารจัดการอย่างไรกับเจ้าพลังงานที่กลืนกินเข้าไป
          ปัจจุบันนี้เวลาที่ดิฉันจะกินอะไรสักอย่างเป็นอาหาร เรื่องอ้วนนั้นเป็นกฏที่ยังคำนึงถึงแต่ก็เป็นข้อที่รองลงไป ด้วยจะคิดเสมอว่า...หากจะอ้วนเพราะอาหารสักจาน ดิฉันขอเลือกที่จะอ้วนจากอาหารที่ไม่มีโทษแต่มีประโยชน์กับร่างกาย เรื่องความอ้วนนั้นต้องบริหารจัดการในปริมาณที่จะกินเข้าไป หากเผลอไผลไปกับรสชาติในมื้อนี้...มื้อต่อไปก็ต้องลดปริมาณเป็นการชดเชยค่ะ ส่วนเรื่องการออกกำลังกายนั้นสำหรับดิฉันคงต้องทำไม่รู้ไม่ชี้ที่จะกล่าวถึง และขอยืนยันว่าอาหารมื้อค่ำยังคงเป็นมื้อที่ควรบริหารจัดการมากกว่าทุกมื้อนะคะ
          มีคำกล่าวไว้ว่า...หากเรากินอาหารที่มีอายุสั้น...เราจะมีอายุยืนยาว  หากเรากินอาหารที่มีอายุยาว...อายุขัยของเราก็จะสั้น (อาหารอายุสั้นคือผักพืช ส่วนอาหารอายุยาวหมายถึงสัตว์นั่นเอง) นี่คือสิ่งเล็กๆน้อยๆที่ดิฉันขอนำมาเล่าสู่กับท่านผู้อ่านในTGNฉบับนี้ด้วยความเป็นห่วงเป็นใยกันนะคะ หากเราเข้าใจและใส่ใจในอาหาร การกินอย่างฉลาดโอกาศอ้วนและป่วยก็จะน้อยค่ะ วันนี้ดิฉันจึงขอนำเสนอาหารจานแซ่บแบบไม่ต้องกลัวอ้วนกันสักจานหนึ่งเป็นการคลายเครียดแถมยังได้กินอาหารที่หลากหลายไปด้วยคุณประโยชน์ของสมุนไพรค่ะ 

          อาหารจานนี้มีชื่อว่า"พล่าชาละวัล"โดยนำเอาว่านหางจระเข้มาพล่ารวมกับพืชผักสมุนไพรออกมาเป็นอาหาร รายการอาหารจานนี้ดิฉันขอนำเสนอวิธีทำในรูปแบบของคลิปวีดีโอสาธิตการทำเนื่องจากว่าต้องการให้รายละเอียดในการนำว่านหางจระเข้มาปรุงอย่างถูกวิธีเพื่อประโยชน์สูงสุด

วันพฤหัสบดีที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2553

เรื่องเล่า...สิ่งที่มีค่าที่สุด

เรื่องเล่าที่ได้รับมาจากเพื่อน...เรื่องสิ่งที่มีค่าที่สุด...
          ในอดีตมีวัดแห่งหนึ่งชื่อว่าหยวนยินซื่อทุกวันจะมีอุบาสก อุบาสิกาผู้มีจิตศรัทธาขึ้นมาไหว้พระขอพรเป็นจำนวนมาก กลิ่นธูปควันเทียนมิเคยขาดสาย บนเสาคานหน้าวัดหยวนยินซื่อมีแมงมุมตัวหนึ่งถักใยทำรังอยู่มันได้รับกลิ่นอายแห่งธูปเทียนทุกวัน บำเพ็ญเพียรเป็นเวลาพันกว่าปีแมงมุมจึงเริ่มบังเกิดดวงจิตพุทธญาณ อยู่มาวันหนึ่งพระพุทธองค์ทรงเสด็จสู่วัดหยวนยินซื่อ เห็นว่าที่นี่มีญาติโยมจำนวนมากกลิ่นธูปควันเทียนบูชาไม่เคยขาดก็ทรงปีติยินดียิ่งนักก่อนจะเสด็จออกไปจากวัดพระองค์แหงนพระพักตร์ขึ้นมองอย่างมิได้ตั้งใจก็เห็นแมงมุมบนคานพระองค์ทรงตรัสถามแมงมุมว่า
“เจ้ากับเราได้พบกันนับเป็นบุญวาสนาเห็นแก่ที่เจ้าบำเพ็ญเพียรมาร่วมพันปีเราจักถามคำถามหนึ่งกับเจ้าเจ้าจะว่าอย่างไร”แมงมุมได้พบพระพุทธเจ้าย่อมดีอกดีใจเป็นอย่างยิ่งจึงรีบรับคำพระพุทธองค์ตรัสถามว่า  “ในโลกนี้ สิ่งใดเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุด”  แมงมุมหยุดคิดครู่หนึ่งก็ตอบว่า “สิ่งที่มีค่าที่สุดในโลกนี้ ได้แก่ ‘สิ่งที่มิอาจได้มา’ และ ‘สิ่งที่เพิ่งสูญเสียไป’” พระพุทธองค์ทรงพยักพระพักตร์  และเสด็จจากไป กาลเวลาล่วงเลยไปอีกหนึ่งพันปี  แมงมุมตัวดังกล่าวยังคงบำเพ็ญเพียรอยู่บนคานของวัดหยวนยินซื่อเช่นเดิม  แต่พุทธญาณของมันได้เพิ่มสูงและแก่กล้าขึ้นเป็นอันมาก  วันหนึ่ง  พระพุทธองค์ทรงเสด็จมายังหน้าวัดอีกครั้งตรัสกับแมงมุมว่า  “เจ้ายังสบายดีอยู่ไหม คำถามที่เราถามเจ้าเมื่อหนึ่งพันปีก่อน  เจ้าได้ไตร่ตรองให้ลึกซึ้งยิ่งกว่าเดิมแล้วหรือยัง”  แมงมุม ตอบว่า “ข้าพระองค์ยังคงรู้สึกเช่นเดิมว่า  สิ่งที่มีค่าที่สุดในโลกนี้ได้แก่ ‘สิ่งที่มิอาจได้มา’  และ ‘สิ่งที่เพิ่งสูญเสียไป’”  พระพุทธองค์ตรัสว่า “เจ้าจงตรึกตรองดูให้ดีอีกหน่อย เราจะมาถามเจ้าอีก”  ผ่านไปอีกหนึ่งพันปี   วันหนึ่งเกิดลมพายุอย่างหนัก  พัดเอาน้ำอำมฤตหยดหนึ่งมาเกาะอยู่บนใยของแมงมุมแมงมุมจ้องมองหยดน้ำอำมฤต  ช่างใสสะอาด บริสุทธิ์ กลมกลึง ผ่องแผ้วตามธรรมชาติ ดวงจิตก็บังเกิดความชื่นชอบ  ดังนั้นหลายวันต่อมาขอแค่ลืมตาขึ้นมาเห็นน้ำอำมฤตแมงมุมก็รู้สึกเป็นสุขใจ  ถึงกับรู้สึกว่า นี่เป็นวันเวลาที่มีความสุขที่สุดตลอดระยะเวลาสามพันปี  แต่แล้ว  อยู่ๆ ก็เกิดลมพายุขึ้นอีกครั้ง และพัดเอาน้ำอำมฤตจากไป  แมงมุมรู้สึกเหมือนสูญเสียอะไรสักอย่างไป  รู้สึกเหงาและโศกเศร้าเป็นอย่างมาก
          ขณะ นั้นเอง  พระพุทธองค์ทรงเสด็จมาอีกครั้ง ตรัสถามแมงมุมว่า  “หนึ่งพันปีที่ผ่านมานี้ เจ้าได้ขบคิดคำถามเดิมต่อหรือไม่ ว่าในโลกนี้  สิ่งใดเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุด” แมงมุม นึกถึงน้ำอำมฤต  จึงตอบพระพุทธองค์ด้วยคำตอบเดิมว่า “สิ่งที่มีค่าที่สุดในโลกนี้ได้แก่ ‘สิ่งที่มิอาจได้มา’ และ ‘สิ่งที่เพิ่งสูญเสียไป’ คราวนี้ข้าพระพุทธเจ้ามีความรู้สึกที่ลึกซึ้งกับคำตอบนี้ยิ่งขึ้นกว่าเดิม อีกเป็นทวีคูณ”  พระพุทธองค์ตรัสว่า  “ตกลง ในเมื่อเจ้าคิดเช่นนั้น  เจ้าจงไปเกิดในโลกมนุษย์ดูสักครั้งหนึ่งเถิด!” 

     และแล้วแมงมุมจึงไปเกิดในตระกูลของขุนนางชั้นสูงกลายเป็นธิดาของเศรษฐีบิดามารดาของนางตั้งชื่อให้นางว่า “จูเอ๋อ” (แมงมุม)  เวลาผ่านไปรวดเร็วมากเพียงพริบตาเดียวจูเอ๋อก็เติบใหญ่เป็นอนงค์นางวัยสิบหกปี น่ารักน่าเอ็นดูสวยงามเกินกว่าใคร วันหนึ่ง  องค์ฮ่องเต้ทรงจัดงานเลี้ยงฉลองที่สวนบุปผชาติท้ายพระราชวัง  ให้แก่จอหงวนคนใหม่นามว่า “กานลู่” (อำมฤต)  บรรดา หญิงสาวผู้เป็นราชนิกูล  ลูกหลานขุนนางชั้นสูงจำนวนมาก รวมทั้งจูเอ๋อและองค์หญิงฉางเฟิง (สายลม)  ต่างก็มาร่วมงานโดยพร้อมเพรียงกัน ในช่วงการแสดงจอหงวนคนใหม่ทั้งร่ายบทกลอน ขับทำนองเพลง แสดงความสามารถมากมาย  หญิงสาวในงานทุกคนต่างก็ต้องมนต์เสน่ห์ ชื่นชอบหลงใหลจอหงวนใหม่กันไปตามๆ กัน  แต่จูเอ๋อรู้อยู่แก่ใจดีไม่ได้หึงหวงหรือกระวนกระวายใจแม้แต่น้อย นางรู้ดีว่า  นี่เป็นบุพเพสันนิวาสที่พระพุทธองค์ทรงประทานให้แก่นาง   ท้ายที่สุดผู้ที่จะได้ครองหัวใจของจอหงวนหนุ่ม  ต้องเป็นนางอย่างแน่นอน วันเวลาผ่านล่วงเลยไป  วันหนึ่งขณะจูเอ๋อไปไหว้พระกับมารดา บังเอิญจอหงวนหนุ่มกานลู่  ก็มาไหว้พระเป็นเพื่อนมารดาของเขาเช่นกัน หลังจากจุดธูป  กราบไหว้พระพุทธองค์เสร็จ ผู้ใหญ่ของทั้งสองก็สนทนากัน  จูเอ๋อกับกานลู่เดินมาคุยกันตรงระเบียง จูเอ๋อดีใจมากในที่สุดก็ได้อยู่กับคนที่ตนรักแล้ว แต่ว่าท่าทางที่กานลู่มีต่อจูเอ๋อนั้นไม่ค่อยกระตือรือร้นเท่าไหร่นัก จูเอ๋อถามกานลู่ว่า“ท่านจำไม่ได้แล้วหรือ เรื่องที่เราพบกันบนใยแมงมุมในวัดหยวนยินซื่อเมื่อสิบหกปีก่อน” กาน ลู่ตอบกลับด้วยความงุนงงว่า  “แม่นางจูเอ๋อ ท่านเป็นหญิงสาวที่งดงามมาก อีกทั้งยังน่ารัก  แต่ท่านช่างมีจินตนาการที่ล้ำลึกเหลือเกินนะ” พูดจบก็จากไปพร้อมกับมารดาของเขาเมื่อกลับถึงบ้านจูเอ๋อรู้สึกอึดอัดในใจยิ่งนักในเมื่อพระพุทธองค์ทรงจัดการให้เกิดบุพเพสันนิวาสนี้ขึ้นแล้ว  เหตุใดไม่ทำให้เขาจดจำเหตุการณ์นั้นไว้เล่า กานลู่(อำมฤต)เหตุใดจึงไม่รู้สึกใดๆต่อข้าเลย 
          หลาย วันต่อมา  ฮ่องเต้มีพระราชโองการให้จอหงวนหนุ่มกานลู่อภิเษกสมรสกับองค์หญิงฉางเฟิง   ส่วนจูเอ๋อได้อภิเษกสมรสกับองค์ชายไท่จื่อจือ  ข่าวนี้ประดุจดั่งเสียงฟ้าผ่าเปรี้ยงในยามกลางวัน!   จูเอ๋อตกใจมาก  นางคิดไม่ตกว่า  เหตุใดพระพุทธองค์ทรงทำกับนางเช่นนี้ 
          หลายวันผ่านไป  นางไม่กินไม่ดื่ม ครุ่นคิดอย่างหนักตลอดเวลา จนกระทั่งวิญญาณใกล้ถอดออกจากร่าง  ชีวิตใกล้จะดับสูญ เมื่อองค์ชายไท่จื่อจือทราบข่าว  รีบเสด็จมาเยี่ยมถึงข้างเตียง  พลางบอกกับจูเอ๋อที่กำลังหายใจอ่อนระทวยอยู่ในขณะนี้ว่า  “วัน นั้นในงานเลี้ยงในสวนบุปผชาติ ท่ามกลางหญิงสาวจำนวนมาก  ข้าตกหลุมรักเจ้าในแรกพบ  ข้าเป็นผู้อ้อนวอนเสด็จพ่อ  ขอให้ทรงประทานงานแต่งให้แก่เราสองคน  หากเจ้าต้องเป็นอะไรไป ข้าก็ไม่ขอมีชีวิตอยู่อีกต่อไป!” ว่าแล้วก็ชักกระบี่ออกมาเตรียมฆ่าตัวตาย   ในขณะนี้เอง  พระพุทธองค์ก็เสด็จมา   พระองค์ตรัสกับจูเอ๋อที่วิญญาณกำลังจะออกจากร่างว่า  “แมงมุม เอ๋ย เจ้าเคยคิดบ้างไหมว่า ใครเป็นผู้พาน้ำอมฤต (กานลู่)  มาถึงที่นี่  คือลม (องค์หญิงฉางเฟิง)  ใช่ไหม  ท้ายที่สุดลมก็ย่อมเป็นผู้พาเขาไป   กานลู่จึงเป็นขององค์หญิงฉางเฟิงอยู่แล้ว  สำหรับเจ้า เขาเป็นเพียงส่วนประกอบหนึ่งในชีวิตของเจ้า  เป็นเพียงผู้มาเยือนคนหนึ่งเท่านั้น "ส่วน องค์ชายไท่จื่อจือ เดิมทีเดียวเขาเป็นต้นไม้เล็กๆ  หน้าวัดหยวนยินซื่อ  เขาเฝ้ามองเจ้ามาตลอดสามพันปี  หลงรักเจ้ามาตลอดสามพันปี แต่เจ้ากลับไม่เคยก้มหน้าลงมามองเขาเลย  แมงมุมน้อย เราจักถามเจ้าอีกครั้งว่า ในโลกนี้  สิ่งใดเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุด” หลัง จากแมงมุมเข้าใจความจริงอย่างถ่องแท้  ก็ตาสว่างทันที   นางทูลตอบพระพุทธองค์ว่า “สิ่งที่มีค่าที่สุดในโลก ไม่ใช่ 'สิ่งที่มิอาจได้มา' หรือ 'สิ่งที่เพิ่งสูญเสียไป' แต่ต้องอยู่กับปัจจุบัน  แล้วทะนุถนอมความสุขตรงหน้าเอาไว้ให้ดี”  พูด จบ  พระพุทธองค์ก็เสด็จจากไป  วิญญาณของจูเอ๋อก็กลับเข้าร่าง   นางค่อยๆ ลืมตาขึ้น เห็นว่าองค์ชายไท่จื่อจือกำลังจะฆ่าตัวตาย  จึงรีบห้ามปราม  แล้วสวมกอดเขาด้วยความซาบซึ้ง...
          ความ สุขสูงสุดของคนเราไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าได้ครอบครองอะไร  แต่อยู่ที่กระบวนการขณะไขว่คว้าหาสิ่งๆ  นั้นต่างหาก   สิ่งใดที่ไม่ได้เป็นของคุณ ท้ายที่สุดก็ฝืนลิขิตไม่ได้  

          เมื่ออ่านเรื่องเล่านี้จบลง...ฉันได้ข้อคิดสำหรับตนเองว่า.....
          เราไม่ได้สูญเสียอะไรไปเพราะสิ่งที่เราให้มาตลอดเวลาคือสิ่งมีค่าที่เขาต่างหากได้สูญเสียเมื่อทุกสิ่งปรากฏชัดว่าอะไรจริงและอะไรไม่จริง
          ถ้าให้เลือกระหว่างการที่ไม่ได้ครอบครองเขากับการให้เขาเสียชีวิตและตายจาก เราก็ขอเลือกการไม่ได้ครอบครองเขา นี่คือสิ่งมีค่าในตัวเราที่คงอยู่
          แล้วจะมาคร่ำครวญอะไรเล่าในเมื่อเขาก็ยังอยู่กับใจเราเสมอ 
          การที่เราจะอยู่กับใครก็ตามที่เรารักให้นานที่สุดคือการดูแลตนเองให้ดีเพื่อได้อยู่เห็นเขาไปให้ได้มากที่สุดนั่นเอง
          อย่าทุกข์ให้หนักเพราะแรงแห่งทุกข์ของเราจะไปบั่นทอนบุญบารมีของเขาและลดทอนบุญของเราเองด้วย
          นี่เอง...ความหมดทุกข์และมีสุขกับการไม่ได้ครอบครองสุภาษิต ชาวอเมริกันบอกว่า “เลข 0 หมื่นตัว ก็สู้เลข 1 ตัวเดียวไม่ได้” สุภาษิตนี้บ่งบอกเอาไว้ชัดเจนว่า  อะไรคือสิ่งที่ควรถนอม ควรรักษา ต้องใช้สติปัญญาเป็นตัวแยกแยะ  'สิ่งที่มิอาจได้มา' และ 'สิ่งที่เพิ่งสูญเสียไป' ใช่ว่าจะเป็นสิ่งที่ต้องไขว่คว้าให้จงได้เสมอไป
บรม กวีอังกฤษ  วิลเลียม เบลค (William  Blake) กล่าวไว้ว่า “หนึ่งเม็ดทรายเท่ากับหนึ่งโลกหล้า หนึ่งบุปผาเท่ากับหนึ่งสรวงสวรรค์  ในฝ่ามือเกาะกุมความนิรันดร์  ชั่วพริบตาก็คือชั่วกาลนาน”



วันพุธที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ขนมเทียนไข่ผำ(ไข่น้ำ)

  ขนมเทียน(เข่ง)สูตรแป้งใส่ผำ

          เมื่อตอนสาร์ทจีนน้องสาวนำขนมเทียนเจ้าที่อร่อยมากมาฝากเหมือนเช่นทุกครั้งในเทศกาล น้องคนนี้เป็นน้องนุชคนสุดท้องคือคนที่สี่ต่อจากดิฉันนั่นเอง น้องสาวรู้ใจว่าดิฉันชอบขนมเทียนใส้เค็มเจ้านี้มากเลยนำมาให้ได้กินอีก เมื่อก่อนนี้สัก3ปีผ่านมาเขาขายชิ้นละ4บาทซึ่งก็พอจะรับไหวด้วยึวามอร่อยของใส้ถั่วที่เค็มมันและมีรสของพริกไทยพอดี เมื่อแกะใบตองที่ห่อออกแล้วก็จะได้ขนมเทียนที่มีขนาดคำเดียวเคี้ยวกลืนได้สบายๆ กะด้วยสายตาก็ครึ่งหนึ่งของลูกมะนาวเท่านั้น ปีนี้น้องสาวบอกว่าเขาขายชิ้นละ7บาทซึ่งเป็นที่ตกใจสำหรับดิฉันเลยนะ อะไรกัน!ขนมธรรมดาๆนี่นะคำละ7บาท โอ๊ย...ตายๆๆ พอบ่นเรื่องราคาน้องสาวก็บอกว่าที่ik8kแพงเพราะเขาใส่ใบไม้ของจีนชนิดหนึ่งชื่อ"ชีวคั๊ก"กิโลละเป็นพันเชียวนะ ได้ยินแบบนั้นเราก็ลองมาจินตนาการว่าชีวคั๊กมาจากประเทศจีนกว่าจะมาถึงเราก็ผ่านด่านไม่รู้กี่ด่านกว่าจะผ่านเวียดนามมาถึงเราได้...แล้วมันมีประโยชน์มากนักเลยเหรอราคาถึงได้แพงนัก  ก็เคยศึกษามานะว่าขนมเทียนพอใส่เจ้าชีวคั๊กลงไปแป้งของขนมเทียนมันจะนิ่มน่ารับประทาน  อ้าว...ในโลกใบนี้มีชีวคั๊กอย่างเดียวเหรอที่ทำได้ เราไม่เชื่อๆๆในแผ่นดินไทยคงต้องมีอะไรมาเป็นตัวช่วยได้อย่างแน่นอน
          หลังจากคิดๆๆอยู่3-4วันก็ได้ตัดสินใจแล้วว่าจะลองเปิดตำราทำขนมเทียนดูสักครั้ง ไหนๆก็ไหนๆเมื่อทำขนมเทียนแล้วก็ลองทำขนมเข่งไปด้วยพร้อมกันเลย เราเลยเปิดดูสูตรของคนโน้นทีของคนนี้ทีแล้วนั่งเทียนคิดเอาเองว่าจะทำแบบไหนให้ออกมาแล้วสุ่มเสี่ยงต่อการสูญเสียทรัพยากรน้อยที่สุด  นั่นคือทำออกมาแล้วต้องกินได้ไม่ใช่โยนใส่หัวหมาเสียของเปล่าๆเพราะหมามันคงไม่จะกิน  สิ่งแรกที่เราหมายปองไว้ในใจคือ"ผำ"หรือบางคนเรียกไข่น้ำ ไข่ผำ พืชที่เกิดในแหล่งน้ำสะอาดมีลักษณะเหมือนเแหน(แน๋)แต่ผำสีเขียวสดตระกูลเดียวกับสาหร่ายนี้เมื่อสัมผัสด้วยมือเราจะรับรู้ได้ว่าผำเป็นเม็ดเล็กๆมาก หากใครจินตนาการภาพไม่ออกให้นึกถึงไข่ปลาช่อนหรือปลาสลิดที่สุกแล้วนะคะจะมีความคล้ายกันมากๆ  ผำหรือไข่น้ำจะมีมากตอนช่วงกลางฤดููฝนไปถึงฤดูหนาว  ชาวชนบทจะนำพืชชนิดนี้มาทำอาหารพื้นเมืองง่ายๆเช่นคั่วผำอาหารที่มีเครื่องและขั้นตอนการทำไม่ยุ่งยากเลย อีกชนิดหนึ่งเขาทำเหมือนอ่อมทางเหนือ หรือนำมาแกงกับใบหญ้านางใส่ใบแมงลักแบบแกงอีสานก็อร่อยไปอีกบรรยากาศหนึ่ง นึกถึงเวลาได้นั่งล้อมวงกันมีสำรับกับข้าวแบบวัฒนธรรมคนไทยที่นับวันจะเลือนหายไปจากบ้านเรา
          เหตุที่ดิฉันหมายปองการนำผำมาทำขนมเทียนแทนชีวคั๊กนั้นเพราะเคยอ่านเจอข้อมูลว่าเจ้าผำนี่มีคุณค่าอาหารไม่แพ้กับสาหร่ายสไปร์ลูเลียน่าหรือสาหร่ายเกลียวทองแกมน้ำเงิน หรือจะอะไรก็แล้วแต่เถอะนะคะ เอาเป็นว่าผำของเราสดๆไม่ผ่านกระบวนการผลิตใดๆย่อมมีคุณค่าอาหารชั้นดีอยู่ในตัวเอง ด้วยคุณสมบัติแค่นี้อย่างอื่นค่อยมาว่ากันต่อไปตามหลักวิทยาศาสตร์และโภชนาการ ชีวคั๊กตากแห้งค้างปีที่ว่าแพงราคากิโลละพันบาทนั้นจะมาแน่กว่าผำสดๆราคากิโลละ40บาทที่มาพร้อมด้วยคอโรฟีล ไฟเบอร์ ไวตามินและเบต้าแคโรทีนก็ให้มันรู้ไป ใครที่พอมีแรงกินขนมเทียนคำละ7บาทก็ถือว่าท่านมีความสุขใจก็อย่าคิดว่าดิฉันขวางโลกเลยค่ะ เพียงแต่ทุกข์ใจเพราะเห็นคนไทยใช้น้ำมันแพง ยาแพง ของกินก็ราคาแพงไม่สมน้ำสมเนื้อจึงต้องออกมาร้องแลกแหกกระเจิง...บอกความอึดอัดใจกันตรงนี้เอง และเมื่อบ่นแล้วก็ต้องทำได้ด้วยจะได้ไม่ถูกตำหนิว่าดีแต่พูดไปน้ำท่วมทุ่ง...แม่คนช่างติ
          วันนี้ดิฉันขอนำเสนอ...ขนมเทียน(เข่ง)สูตรผำใส้เค็มค่ะ
     ตัวแป้ง
          เริ่มแรกเราต้องมีแป้งข้าวเหนียว ในสูตรใช้ 1/2 กก     
          ใช้ผำหรือไข่น้ำ 2-3 ขีด(ล้างน้ำให้สะอาดสักสามครั้ง กรองด้วยผ้าขาวบางพักให้สะเด็ดน้ำ)
          น้ำตาลทราย 1/2 ถ้วยตวง+น้ำตาลปี๊บ1/2ถ้วยตวง หากใครสะดวกใช้เพียงชนิดเดียวก็ไม่มีปัญหานะคะ แต่ถ้าเป็นน้ำตาลปี๊บจะได้ความหอมเพิ่มขึ้น
          น้ำกระทิ 3 ถ้วย (เราลองใช้น้ำเปล่าผสมกับน้ำมันมะพร้าว3ช้อนคาวแทนกระทิผลที่ได้ก็ไม่ต่างกันมากนักคราวหน้าว่าจะลองนมข้นจืดมาผสมน้ำลองทำดู)
          เกลือป่น 1/2 ช้อนชา
วิธีทำ  เคล้าแป้งข้าวเหนียวกับน้ำตาล เกลือให้เข้ากัน
          ผสมผำกับน้ำกระทิ(หรือน้ำเปล่าผสมน้ำมันมะพร้าว)ที่เตรียมไว้แล้วค่อยๆผสมลงในแป้งนวดเบาๆไปมาให้เข้ากัน หากส่วนผสมข้นเหนียวมากเกินไปก็เพิ่มน้ำได้อีกเล็กน้อย แป้งที่ได้ควรมีลักษณะข้นแต่ไม่ถึงกับเหนียวติดช้อน จากนั้นพักไว้ก่อนให้ทุกอย่างเข้ากันได้ดี เราก็หันไปทำใส้ขนมต่อ
          ใส้ขนมเทียน 
          ถั่วเขียวเลาะเปลือก(ถั่วซีก) 3 ขีด ล้างน้ำเอาฝุ่นออกสักสองครั้งแช่น้ำพักไว้3ชั่วโมงแล้วนึ่งให้สุก(ถ้าสะดวกใช้ไมโครเวฟดิฉันใช้ไฟแรงสุด10นาที)นำมาโขลกให้แหลก
          พริกไทยเม็ดล้างน้ำเอาฝุ่นออก 1 ช้อนโต๊ะ+รากผักชี3ราก  โขลกรวมกันให้ละเอียด
          น้ำตาลมะพร้าวหรือน้ำตาลปี๊บ 1 ถ้วยตวง
          เกลือ 2 ช้อนโต๊ะ
          หอมหัวแดง4หัว+กระเทียม5กลีบใหญ่ โขลกรวมกัน
          น้ำมันพืชสำหรับผัดใส้้ 3 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำ  ตั้งกระทะใส่น้ำมันพืชและหอม+กระเทียมลงผัดพอหอมใส่รากผักชี ตามด้วยพริกไทย ถั่วผัดให้เข้ากัน ใส่เกลือป่น ใส่น้ำตาลผัดต่อไปด้วยไฟอ่อนจนส่วนผสมแห้งดี พักไว้พออุ่นก็นำมาปั้นเป็นก้อนเท่าๆไข่นกกระทา
          เมื่อจะนึ่งก็นำกระทงทาน้ำมันเล็กน้อยวางเรียงในลังถึงจากนั้นให้หยอดแป้งที่ผสมไว้ลงในกระทงๆละ 1 ช้อนกินข้าวนำไปนึ่งในน้ำเดือด5นาทีจากนั้นนำใส้ขนมที่เตรียมไว้ใส่ลงไปแล้วหยอดแป้งใส่ให้เสมอกับใส้นึ่งด้วยไฟแรง20นาที หากจะใส่มะพร้าวขูดก็ใส่ในขั้นตอนนี้ได้เลย
          นึ่งเสร็จใหม่ๆขนมจะนิ่มมากต้องรอให้เย็นลงก่อนจึงจะได้ความเหนียวนุ่มพอดี  หน้าตาขนมออกมาก็น่าพอใจสำหรับดิฉีนเองค่ะเพราะนี่คือการทำขนมประเภทนี้ครั้งแรกแบบเปิดตำราออนไลน์ จะมีที่ติก็ตรงที่ใส่ใส้เยอะไปนิดหนึ่งทำให้ใส้นูนข้นมาเหนือตัวแป้งแต่ก็คงพอจะอนุโลมกันนะคะเพราะเป็นครั้งแรกจริงๆ เดี๋ยวจะพัฒนาให้ดีกว่านี้ค่ะและคงต้องมองหาตัวช่วยใหม่ๆมาทำเผื่อว่าจะมีอะไรที่เรายังมองข้ามไป  แต่ที่น่าพอใจมากๆคือแป้งของขนมนั้นนิ่มนวลไม่เหนียวหนืดติดคอ  สมใจปราถนาไม่หน้าแตก
          ลงทุนทั้งหมดไปเป็นเงินประมาณ 115 บาท ได้ขนมนึ่งแล้ว 26 เข่ง (ใครทานได้ถึงสองเข่งอาจไม่ต้องทานข้าว) แต่ใส้นั้นใช้ไปได้เพียงครึ่งเดียวเองเลยต้องเก็บใส่ถ้วยปิดฝามิดชิดแช่เย็นไว้ก่อน เมื่อทำแล้วก็ต้องมีการทดสอบอีกด้วยการใส่ถุงให้ลูกนำไปแบ่งเพื่อนที่โรงเรียนพอตกเย็นเขาก็มาบอกว่าเพื่อนชิมแล้วบอกว่าอร่อย และเมื่อทดลองแช่เย็นไว้หนึ่งคืนโดยวางไว้ในจานเฉยๆไม่ใส่บรรจุภัณฑ์ใดๆแล้วนำมาทานในวันรุ่งขึ้น ปรากฏว่าทานได้เลยเพราะชอบทานขนมที่แช่เย็นอยู่แล้ว ขนมเทียนเข่งที่นำออกมาถึงจะหนึบขึ้นเล็กน้อยแต่ไม่แข็งกระด้าง...พอใจระดับหนึ่งทีเดียวค่ะ
         
         
ผำ ไข่น้ำ ไข่ผำชื่อตามแต่ละท้องถิ่นหาซื้อได้ในตลาดสดโดยเฉพาะตามริมทางเท้า ที่มาของผำนี้ซื้อมาจากตลาดมีนบุรี
ใส้ทำจากถั่วเขียวซีกผัดเครื่องเทศปรุงรสหวานพอดีและเน้นพริกไทย
เตรียมนึ่ง จะใส่มะพร้าวทึนทึกขูดด้วยก็ได้
เสร็จแล้ว...มีคนชิมเรียบร้อยทุกคนบอกว่าอร่อย ใส้รสจัดดี คนทำยิ้มและถอนหายใจเฮือกอย่างโล่งอกคำนวนต้นทุนแล้วคุ้มค่าน่าทำทานในครอบครัวหรือเทศกาลไหว้
 ·  · Share · Delete

รถสุขามหานคร(มหานครทอยเล็ต)

หิวก็ร้อง อิ่มไปก็บ่น จะขับถ่ายยังเรื่องมาก
          สุ...แปลว่าดี ขาแปลว่า...อวัยวะส่วนล่าง 55 คนที่กำลังอ่านคงเกาหัวแกรกๆคิดว่าคำนี้มันมาจากพจนานุกรมเล่มไหนกันเนี่ย ความหมายของคำว่า"ขา"ที่ว่านี้มาจากพจนานุกรมฉบับคนข้างถนนของเราเองค่ะ เพราะว่าเรามีประสพการณ์ตรงกับการไปปักหลักพักค้างอยู่ข้างถนนและบนฟุตบาทจึงมีความจำเป็น(รำเค็ญ)ที่ต้องใช้บริการรถสุขาเคลื่อนที่ของกรุงเทพมหานครอมรรัตนโกสินทร์ฯมามากมายหลายครั้งจึงมีความทรงจำทั้งดีและไม่ดีมาเล่าสู่กันฟังสำหรับใครที่ยังไม่เคยใช้บิรการหรรษา(สาหัส)ของมหานครทอยเล็ต รถเมล์เก่าๆที่ถูกนำมาดัดแปลงให้เป็นรถเพื่อรองรับการขับถ่ายของคนที่ต้องการปลดทุกข์นอกสถานที่เป็นการเร่งด่วน ทำไมต้องใช้คำว่าเร่งด่วนก็เพราะว่าด้วยความรู้สึกว่าไม่มีใครอยากกรายกร้ำเข้าใกล้เจ้ารถสุขานี่หากไม่มีความจำเป็นจริงๆเพราะว่าเพียงเราเข้าไปใกล้เราก็จะได้รับหรือสัมผัสกับกลิ่นที่ไม่เป็นที่พึงประสงค์โชยมาให้ได้รับรู้ว่าตรงนั้นน่าเข้าไปใกล้หรือไม่ อย่างไร...
          รถสุขาเคลื่อนที่สีเขียวๆนี้ปกติก็มีไว้บริการประชาชนตามวาระและโอกาศต่างๆ อาจจะมีการจัดไปตามคำขอของประชาชนหรือหน่วยงานใดๆเมื่อมีการจัดงานหรือมีนิทรรศการอะไรที่ต้องมีผู้คนหมู่มากแต่จำนวนห้องน้ำห้องส้วม(สุขา)มีไว้บริการไม่เพียงพอ ภายในรถสุขามหาสนุกของกรุงเทพฯมหานครอมรรัตนโกสินทร์ฯนี้ภายในรถแต่ละคันก็จะมีสภาพตามมีตามเกิดไปตามสภาพของรถและพนักงานที่ดูแล คำที่บอกว้่า"ห้องน้ำคือห้องรับแขก"หรือ"ห้องน้ำคือหน้าตาของบ้าน"สำหรับเราๆที่มีห้องน้ำแล้วดูแลใส่ใจนั้นเห็นทีจะเป็นตำราคนละเล่มกันกับรถสุขาสีเขียวของ กทม.เป็นแน่แท้ค่ะ แต่อาจต้องนึกไปถึงคำว่า"มีลูกสาวเหมือนมีส้วมอยู่หน้าบ้าน"คงจะได้อารมณ์กว่า
          สภาพของสุขภัณฑ์ที่จัดไว้ภายในรถสุขาจะเป็นสเตนเลสแบบราบไปกับพื้นบ้าง ยกสูงแบบนั่งยองๆบ้างก็แล้วแต่ว่าคันไหนจะเป็นแบบใด ในรถสีเขียวๆคันหนึ่งเขาจะกั้นครึ่งไว้ด้วยไม้อัดหรือวัสดุแบบไม่มิดชิดอะไร ในห้องสุขานั้นก็คับแคบชนิดที่ว่าใครมีขนาดลำตัวใหญ่ๆคงจะได้แค่หมุนตัวเท่านั้น เจ้าตะกร้าขยะที่มีไว้ทิ้งเศษอะไรต่อมิอะไรอยู่ก็แทบจะชิดกับหน้าเรา เฮ้อ....ไม่อยากบรรยายละเอียดมากนักหรอกค่ะเดี๋ยวเกิดใครมาอ่านแล้วเกิดวันใดวันหนึ่งต้องไปใช้บริการรถสุขามหานครเข้าจะเกิดจินตนาการเสียจนไใม่กล้าเข้าไปใช้จะทำให้ทุกข์ทรมานกันทั้งหนักทั้งเบา บาปกรรมจะตกมาถึงคนเล่าหรือเปล่าก็ไม่ทราบได้
          เมื่อเราก้าวเท้าขึ้นไปบนบันไดของรถสุขามหานครนี้อย่าได้คาดหวังเลยว่าจะได้เจอพนักงานหนุ่มหล่อแบบเคนธีระเดช เพราะนี่คือรถปลดทุกข์สำหรับฉุกเฉินใครเข้าไปแล้วจะต้องรีบกลับออกมาโดยเร็วที่สุด ต่างกับรถไฟฟ้ามหานครที่ติดแอร์เย็นฉ่ำจนน่าหลับไหล ก้าวแรกที่เหยี่ยบย่างขึ้นไป...ตื่นเต้น เร้าใจ ระทึกขวัญไม่น้อย  จะเป็นการดีกว่านี้หากพนักงานที่อยู่ในส่วนที่นั่งของคนขับซึ่งจัดไว้เป็นที่พักอีกต่างหากนั้นจะไม่ใช่พนักงานผู้ชาย ไม่ได้รังเกียจอะไรหรอกค่ะ แต่มันทำให้ประดักประเดิดเวลาต้องไปยืนออกันเพื่อรอใช้บริการในห้องสุขาหญิง  เมื่อเราต้องใช้บริการในยามที่คนมาเข้าคิวกันอย่างจอแจแออัดด้วยละก็จะต้องใช้ความอดทนสูงกว่ายามปกติ ยิ่งแถวยาวมากเท่าไหร่ก็ยิ่งเป็นเครื่องทดสอบความอดทนมากเท่านั้น ระยะทางพิสูจน์ม้า...ก็อาจจะพอใช้ได้ค่ะเพราะนอกจากเราต้องอดทนกับอาการปวดหนักปวดเบาแล้วเราต้องทนกับกลิ่นของห้องสุขามหานครนี้ด้วย ยิ่งรอนานก็ได้รับรู้ถึงวิบากของมนุษย์ และหากกำลังเข้าคิวรอๆอยู่แล้วรถสุขาเต็มจนต้องมีรถมาถ่ายของเสียออกไปช่วงนั้นนะเป็นอะไรที่สุดแสนจะสาหัส จึงขอฝากคำเตือนไว้ว่า...อย่ารอให้อาการหนักแล้วจึงไปเข้ารถสุขาเพราะเราอาจค้องต่อแถวยาวจะได้ไม่ทุกข์มาก ความรักกับความทุกข์จึงต่างกันชัดเจนให้ได้คิดแบบขำๆที่ว่าความรักนั้นอย่าชิงสุกก่อนห่าม แต่ความทุกข์เรื่องสุขาไม่ควรรอให้สุกงอมอย่างความรักค่ะ 555 เปรียบไปได้อย่างไรกันนี่ก็ขอเปรียบแบบฉบับข้างถนนก็แล้วกันนะคะ
          รถสุขามหานครของกรุงเทพมหานครมาเป็นหน่วยงานที่ต้องบริการประชาชนทางกรุงเทพฯน่าจะปรับปรุงพัฒนาให้ดีกว่าที่เป็นอยู่ อยากให้ผู้ว่ากรุงเทพฯได้ระลึกถึงคำของคนไทยที่ว่าห้องน้ำคือห้องรับแขก ช่วยปรับปรุงทำๆเรื่องนี้หน่อยเถอะค่ะไม่ต้องไปง้อรอรถเมล์4,000คันหรอกนะคะเพราะว่าไม่ใช่จะมีแต่คนไทยเท่านั้นที่มีความทุกข์ฉุกเฉินชาวต่างชาติก็มีมาใช้บริการเหมือนกันจะได้มีคำชมมาเปรียบเราว่ามีลูกสาวเหมือนมีส้วมอยู่หน้าบ้านใครผ่านไปมาแม้จะไม่ได้เข้ามาใช้บริการก็ยังยิ้มให้เพราะไม่มีกลิ่นส่งไปรบกวน แต่นี่...การใช้บริการรถสุขามหานครเหมือนเรามีทุกข์สองเด้ง เด้งที่1คือทุกข์ที่ต้องปลดปล่อย เด้งที่2คือทุกข์ที่ต้องอดทนในทุกข์...อย่างที่กล่าวมา
          เมื่อวันก่อนเราก็ได้ไปที่หน้ารัฐสภาวันนั้นมีการประกาศว่ามีรถสุขามารอบริการประชาชน เราก็นึกในใจว่าเออ...ดีน็อ กทม.ของคุณชายหม่อมฯช่างน่ารักเสียจริงเพราะที่เคยประสพมานั้นหากเราจะใช้บริการรถสุขาเคลื่อนที่จะต้องแจ้งล่วงหน้านานมาก แต่วันนี้มาจอดรอ...แต่ที่ไหนได้ เราเพิ่งรู้ว่าหากเราต้องการรถสุขาฯมาบริการต้องจ่ายเงินถึงกะละ4,500/คันหากเราจะใช้เวลา06.00-18.00เราต้องจ่ายคันละสี่พันห้าร้อยบาท ใช้4คันก็ราคา18,000บาท(แพงเกินกว่าคุณภาพ) และหากภาระกิจยังไม่เสร็จสิ้นก็ต้องไปเจรจาต่อเวลาและจ่ายเงินเพิ่มให้กับเขาไม่อย่างนั้นเขาก็จะกลับสังกัดแบบไม่ใยดีเราเลย และหากใครเคยเห็นภาพที่รถสุขากำลังขับเคลื่อนตัวออกไปเพื่อเปลี่ยนกะกับคันใหม่แต่เขาไม่ได้ดูว่ามีคนกำลังปลดทุกข์อยู่ในห้องสุขาของเขา ลองนึกภาพคนที่กำลังอยู่ในนั้นดูเถอะว่าเขาจะต้องตกใจแค่ไหนและจะทำอย่างไรเมื่อเสร็จธุระส่วนตัว เฮ้อ...
          สภาพรถสุขาเก่าๆ ความถูกอนามัยอะไรก้ไม่มีให้เห็น แถมเป็นทรัพย์สินที่มาจากภาษีของประชาชนซึ่งมีไม่อั้นชนิดเต็มออกๆ ไหนๆก็มีเงินรอให้ใช้จ่ายทำให้ดีกว่านี้หน่อยเถอะค่ะไม่ว่าจะเป็นสุขาเคลื่อนที่หรือสุขาที่อยู่หนใดก็ตาม  นำสุขาดีๆมาบริการจะเก็บเงินเพิ่มใครๆเขาคงเต็มใจให้ จำไว้นะ กทม.
- รถสุขามีไม่เท่าไหร่ยังดูแลไม่ได้ดี รถเมล์มีจำนวนมากกว่าตั้งกี่เท่าใครจะไปดูแลไหว (รู้สึกเห็นใจ ขสมก.)
- มีสุขาให้ใช้ดีกว่าไปปลดปล่อยไว้ข้างทาง (ยังงจะมองไม่เห็นความดี)     
- บ้านช่องมีไม่รู้จักอยู่ ออกมาร่อนเร่ให้ลำบาก แล้วมาบ่นทำไม (มันน่าสมน้ำหน้าไม๊)

สภาพที่พอจะดูได้
สภาพที่พอจะได้ดูจากภายนอก น้ำที่เจิ่งนองที่พื้นนั้นก็สกปรก แต่ภายในนั้นขอบอกว่า...อย่าดีกว่า

วันจันทร์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2553

หน้าที่พลเมือง หน้าที่ใครหน้าที่มัน

  หยุดบ่น หยุดถาม หยุดพิพากษามวลชนที่ออกมาเคลื่อนไหวเรื่องความดันทุรังเอาเรื่อง MOU/JBCเข้าสภา เพราะหากมันไม่ถูกใจใครก็ตามที่กำลังมองอยู่และคิดเช่นนี้ขอให้ใช้เหตุและผล มองพวกคนเหล่านั้นว่าเขาคิดอะไร หวังอะไร (อกเขา-ใจเรา)ไม่มีใครทำอะไรแล้วถูกใจใครไปหมดทุกคนได้แม้แต่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะเองก็คงตกในสถาพนี้ด้วยเช่นกัน แต่เราจะทำอย่างไร? ให้ทุกฝ่ายสามารถทำหน้าที่ของตนไปในทางที่ถูกต้องและเที่ยงตรงในหน้าที่ของ ตัวเอง  น้ำท่วมมันก็ท่วมทุกปี..ต้องแก้ไขและบรรเทา แต่ดินแดนนั้นเสียครั้งเดียวแก้ไขไม่ได้อีกแล้ว


          ในฐานะที่ข้าพเจ้าได้เข้าไปมีส่วนร่วมในเรื่องปัญหาชายแดนไทย+กัมพูชา ข้าพเจ้าไม่ได้รอบรู้กฏหมาย ข้าพเจ้าไม่ได้เก่งประวัติศาสตร์ และข้าพเจ้าเกิดหลังจากมีปัญหาเรื่องชายแดนไทย-กัมพูชา
แต่...
         หากถามว่าข้าพเจ้ารู้เรื่องสิทธิ์ของพลเมืองที่ดีดั่งที่เคยมีคำกล่าวไว้ ว่า"หน้าที่พลเมือง"ข้าพเจ้ารู้ว่าหน้าที่ของข้าพเจ้าคืออะไร

          ไม่ต้องจบกฏหมาย ไม่ต้องจบรัฐศาสตร์การเมืองการปกครอง

          ไม่ต้องมีอะไรมากมาย  แค่มีสติและสำนึก.....ว่า เราทำอะไรอยู่ ทำไปเพื่ออะไร
     หากใครก็ตามที่รู้สึกขัดใจกับกลุ่มคนเหล่านี้ที่ออกมาคัดค้านรัฐบาลเกี่ยวกับเรื่องการเสียดินแดน

     บ้างก็บ่นอย่างอิดหนาระอาใจว่า... น้ำก็ท่วมยังจะออกมาวุ่นวายอะไรกันนักหนา คนเหล่านั้นที่มาไม่น้อยบ้านเขาก็ถูกน้ำท่วมเช่นกัน แต่พวกเขาก็มาด้วยความมุ่งมั่นแม้เป้าหมายจะริบหรี่กับรัฐบาลก็ตาม 

     ให้พวกเขาสู้ต่อไปอีกสักหน่อยเถอะ มันอาจจะเป็นการต่อสู้เพื่อรักษาดินแดนเฮือกสุดท้ายของเขาก็เป็นได้ ข้าพเจ้าคิดว่าหลายคนที่มาต่อสู้เขาก็ชราภาพเต็มทีแต่มันก็เป็นแค่สังขารทาง กายเท่านั้นจิตใจนั้นเข้มแข็งอดทนยิ่งนัก ใครที่ไม่เห็นด้วยก็อย่าได้ก่นด่า พวกเขาเลย ขอแค่คุณถามตัวคุณเองสักครั้งว่าหน้าที่พลเมืองของคุณมีแค่การได้ เสียภาษีกับการเลือกตั้งแค่นั้นใช่หรือไม่? ถ้ามีแค่นั้นคุณก็ทำหน้าที่ของคุณไปให้ดีตามหน้าที่นั้น แต่กับกลุ่มคนอีกพวกหนึ่งเขาก็มีหน้าที่ของเขาเราจึงต่างคนต่างทำบนพื้นฐาน ของหน้าที่ๆตนเชื่อมั่น

     ไม่มีอะไรถูกใจใครไปหมด.....คนที่ไม่เคยทำผิดคือคนที่ไม่ได้ทำอะไรเลย 
คนบ่นบางคนไม่เคยลงไปในพื้นที่จริงก็อย่าเพิ่งตัดสินใจหาโอกาสไปสักครั้งแล้วค่อยมาบ่น




http://www.facebook.com/#!/note.php?note_id=159884427385585

อาหารเป็นยา พ่อครัวผู้ล่วงลับ

       สวัสดีค่ะท่านผู้อ่านTGNและทีงานผู้จัดทำที่น่ารักทุก ท่าน พอหมดฤดูฝนทีไรประเทศไทยเราก็มักจะต้องพบเจอกับภัยจากน้ำหรือไม่ก็ภัย จากโรคไข้หวัดที่มากับอากาศในช่วงปลายฝนต้นหนาวที่คุ้นเคยกัน ดิฉันขออฐิษฐานว่าให้เราผ่านพ้นไปด้วยดีและเราจะผ่านเรื่องร้ายต่างๆนี้ได้ ด้วยการเห็นใจซึ่งกันและกัน ช่วยเหลือเกื้อกูลกันดั่งที่เคยประพฤติปฏิบัติมาช้านาน  หากมีการสูญเสียใดๆก็ขอให้สูญเสียน้อยที่สุดนะคะ 



         อาจดูเหมือนจะสุ่มเสี่ยงสักหน่อยที่ดิฉันนำเรื่องของนายสมัคร สุนทรเวชผู้ล่วงลับไปแล้วมาหยิบยกเป็นเรื่องคุยนำสำหรับอาหารเป็นยาฉบับนี้ ไม่ใช่ว่าแม่ชาลีไม่มีเรื่องจะเขียนหรอกนะคะก็ยังมีเรื่องราวอื่นๆอีกมาก ที่จริงแล้วอาหารเป็นยาฉบับนี้ดิฉันตั้งใจนำเสนอเรื่องราวของพี่น้องคนไทย ที่ประสพกับอุทกภัยเพราะได้มีโอกาสลงพื้นที่ไปกับกองทัพธรรมมูลนิธิเพื่อไป ช่วยกันเก็บขยะที่อำเภอหาดใหญ่  แต่เนื่องจากว่าช่วงที่กำลังคิดว่าจะส่งเรื่องอะไรเข้ามาให้กับทีมงานก็ บังเอิญเหลือบไปเห็นหน้าข่าวของเพื่อนๆชาวเฟสบุ๊คกำลังวิพากย์กันถึงเรื่อง การจัดงานศพของนายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรีและนักการเมืองที่โด่งดังจนใครๆต่างก็รู้จัก นายสมัครในวันนี้ในมุมมองของดิฉันกลับไม่ใช่ภาพของนายกรัฐมนตรีดั่งที่ใครๆ มองค่ะ เขาคือพ่อครัวที่ชอบปรุงอาหารและทำกับข้าวฝีมือเข้าขั้นคนหนึ่ง ดิฉันก็เป็นคนที่ชอบทำกับข้าวคงไม่ต้องบอกท่านผู้อ่านก็คงพอทราบว่าดิฉัน ต้องชอบดูรายการอาหารทางทีวีช่องต่างๆอยู่บ้าง ดิฉันชอบดูจริงๆนะคะไม่เลือกพิธีกรด้วยค่ะว่าจะเป็นผู้ใดจะทำไปบ่นไปก็ดูได้ ไม่เกี่ยงงอน การเปิดใจให้กว้างมีแต่จะได้กำไรในสิ่งที่เราได้รู้เห็นค่ะ         

          ครั้งหนึ่ง...ดิฉันดูรายการของคุณสมัครในสมัยที่เขาเป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพ มหานครฯวันนั้นจำได้ว่าคุณสมัครสาธิตการทำต้มข่ากุ้งแม่น้ำหรือถ้าจะบอกกัน แบบเข้าใจง่ายๆก็คือต้มยำกุ้งน้ำข้นแบบไฮโซหน่อยเพราะเขาใช้กุ้งแม่น้ำมา ย่างไฟก่อนพอหอมๆแล้วจึงนำมาผ่าตามยาวแล้วนำไปต้มยำใส่กระทิสดและเครื่องต้ม ยำที่เราคุ้นเคยกันว่ามีอะไรบ้าง ที่ดิฉันเลือกที่จะนำเมนูนี้มาเล่าซ้ำกับท่านผู้อ่่านก็เพราะว่ากาลเวลาได้ ผ่านมามากพอดูจนบางท่านที่เคยได้ดูเหมือนดิฉันอาจลืมบรรยากาศดีๆนี้ไป และต้องกราบขออภัยท่านผู้อ่านที่อาจรู้สึกค้างคาใจกับอาชีพนักการเมืองของ พ่อครัวผู้นี้แต่ก็อย่างที่ดิฉันเรียนท่านผู้อ่านมาในตอนต้นแล้วว่าดิฉันขอ นำเสนอในแง่มุมของสิ่งดีๆที่มีในเรื่องการปรุงอาหารเท่านั้น คุณ สมัครยังมีลีลาการทำอาหารแบบไทยแท้อยู่อย่างน่าชื่นชม ดิฉันยังจดจำคำพูดประโยคหนึ่งของพ่อครัวคนนี้เกี่ยวกับการต้มข่าหรือต้มยำ น้ำข้นในกรณีที่ว่า...ต้มยำกุ้งคืออาหารที่ออกหน้ารับแขกของประเทศไทยคุณ สมัครกล่าวว่า..."ผมใม่ชอบใจเลยที่ร้านอาหารทำต้มยำนี้แล้วใส่นมสด แม๋...ไปเอาเยี่ยงอย่างที่ไหนมาอาหารไทยต้องรสชาติแบบนี้ครับ"สาธิตไปคุณ สมัครก็บ่นไปตามสโลแกนส่วนตัวสมชื่อรายการค่ะ และหากท่านใดได้ดูรายการในยุคนั้นคุณสมัครต้องแนะนำร้านอาหารที่ชอบไปชิมว่า ร้านไหนอร่อยและตั้งอยู่ที่ไหน และอร่อยอย่างไรอธิบายด้วยว่าทำไมถึงอร่อย

          หลายครั้งที่ดิฉันเห็นพ่อครัวผู้ล่วงลับผู้นี้ปรุงอาหารไทยโดยใช้เครื่อง ปรุงและของไทยๆมาทำอาหาร หากเราจะมองย้อนไปและมองโลกอย่างอนิจจังดิฉันเชื่อว่าท่านที่ยังคงค้างคาใจ ไม่ว่าจะเหตุจากอะไรก็ตามอาจจะรู้สึกผ่อนคลายลงด้วยเห็นว่า...คนเราก็เท่า นี้ เมื่อเราถึงเวลาที่จะหมดอายุขัยใครๆก็ทราบดีว่าแม้แต่เงินปากผีก็นำไปด้วย ไม่ได้  แต่แม่ชาลียังจะจินตนาการต่อไปอีกว่า...ความรัก และความเกลียดชังล่ะมันจะติดตามเราไปด้วยได้ไหม เหมือนดั่งนวนิยายรักข้ามภพหรือแค้นฝังหุ่นข้ามชาติที่ตามไปจองกฐินเวรกรรม กันในอีกภพชาติหนึ่งได้  คิดมาถึงตรงนี้ใครช่วยดิฉันหาคำตอบสักหน่อยจะเป็นพระคุณอย่างมากค่ะ  และหากท่านผู้อ่านจะหัวเราะเยาะความเฟื่องของดิฉันก็ทำได้เลยนะคะดิฉันจะขอ น้อมรับด้วยความยินดีค่ะ ฮ่าาาาาา  มาหัวเราะด้วยกันสักวันก่อนที่เราจะไปหาอะไรมาทำอาหารทานกันนะคะ 




   อาหารเพื่อสุขภาพที่ดิฉันจะมานำเสนอในอาหารเป็นยาฉบับบนี้คืออาหารที่ดีมี คุณค่ากับร่างกายอีกเช่นเคย โดยเมนูที่จะทำในวันนี้คือการทำ"ยำแหนมข้าวทอด"อาหารทานเล่นหรือจะเรียกได้ ว่าอาหารประจำซอยของสาวรสแซบที่นิยมกันไม่น้อยเลย แต่วันนี้จะมานำเสนอในรูปแบบของการทานมังสะวิรัติอีกด้วยค่ะ  อาหารจานนี้เป็นที่ทราบกันดีว่าจะต้องใช้หนังหมูที่อุดมไปด้วยไขมันและคลอเล สเตอรอล และอาจมีสารฟอมาลีนและสารฟอกขาวปนเปื้อนมากับหนังหมูอีกด้วยในกรณีที่เราไม่ ได้ทำหนังหมูเองกับมือ และเราก็ทราบกันอีกว่าแหนมที่เขาทำมาขายชนิดสำเร็จรูปนั้นมีข้อดีหรือข้อ เสียประการใดบ้าง เราไม่อาจไปบอกหรือสั่งให้ใครทำอะไรดีๆให้กับเราได้เราจึงต้องมาบอกตัวเรา ให้ทำสิ่งดีๆให้กับตนเองและคนที่เราห่วงใยโดยดิฉันเต็มใจที่จะนำสิ่งดีๆ เหล่านี้มานำเสนอให้ท่านผู้อ่านได้นำไปดัดแปลงเพื่อใช้ในชีวิตประจำวันกัน ค่ะ สุขภาพดีไม่มีขายถ้าอยากได้ต้องทำเอง
  

ส่วนผสม ส่วนที่๑ 

-เส้น บุก ล้างน้ำแล้วนำไปลวกในน้ำเดือดผึ่งไว้ให้สะเด็ดน้ำ หากหาเส้นบุกไม่ได้ใช้เส้นก๋วยเตี๋ยวเซี่ยงไฮ้ต้มสุกจนแผ่นก๋วยเตี๋ยวม้วน ตัวแล้วนำมาหั่นตามขวางเหมือนหนังหมู หรือหากยังหาไม่ได้อีกก็ใช้วุ้นเส้นลวกน้ำร้อนก็ได้ค่ะแต่ที่กล่าวมานี้ อร่อยสู้เส้นบุกไม่ได้
-หมูสับเจ(แป้งหมี่กึน) หากไม่มีใช้เต้าหู้แข็งมายีแล้วนำไปคั่วในกระทะเทฟล่อนจะได้เหมือนหมูสับ-มะนาว  ซีอิ๊วขาว  น้ำตาลทราย (ไม่ใส่ก็ได้)
-ขิงซอย หอมแดงซอย ผักชีฝรั่งซอย-ถั่วลิสงทอดหรือคั่ว  พริกขี้หนูแห้งทอด
-พริกป่น  ส่วนผสม ส่วนที่๒(ข้าวทอด)
-ข้าวสวย ๒ถ้วยตวง
-มะพร้าวขูด ๒ช้อนโต๊ะ
-พริกแกงเผ็ด ๑ช้อนโต๊ะ
-ซ้อสปรุงรส ๒ช้อนโต๊ะ-ใบมะกรูดซอย ครึ่งช้อนโต๊ะ
-น้ำมันสำหรับทอด(หากจะทำเป็นอาชีพเสริมหรือทำเพื่องานเลี้ยงก็เพิ่มส่วนผสมได้ตามชอบใจ)  วีธและขั้นตอนการทำแหนมข้าวทอด
-ผสม พริกแกงกับซ้อสปรุงรสเข้าด้วยกันแล้วนำไปเคล้าลงในข้าวสวยและมะพร้าวขูด ใส่ใบมะกรูดซอยผสมให้เข้ากันดีแล้วชิมรสดูว่าเค็ม เผ็ดพอดีหรือยัง
-ปั้นข้าวให้เป็นลูกทรงกลมจนหมดแล้วนำไปทอดในน้ำมันท่วมด้วยไฟกลางจนสุกเหลืองกรอบนอก นุ่มใน
-เมื่อจะรับประทานก็นำเส้นบุกมาใส่ในชามผสมตามต้องการ ใส่หมูสับเจ ใส่ซีอิ๊วขาว น้ำมะนาว ใส่ขิงและเครื่องที่ซอยลงไป นำข้าวทอดมาบี้ให้พอแตกผสมลงในชาม เคล้าปรุงรสให้พอดีกับที่ต้องการ
-จัดใส่จานโรยหน้าด้วยถั่วทอดและพริกขี้หนูทอด ทานคู่กับผีกสดได้หลายชนิดตามชอบ ยิ่งผักมากชนิดจะยิ่งเพิ่มรสชาติและได้อาหารตาอีกด้วย  ผัก ที่ขอแนะนำว่าชูรส ชูกลิ่นได้แก่ ผักกาดหอมต่างๆ ใบโหระพา ผักแพรวหรือที่เรียกอีกชื่อว่าผักไผ่ ใบชะพลู และผักสดนาๆชนิดทานให้ได้หลากหลายนะคะ อาหารดีสีสวยได้ทั้งอาหารกายและอาหารตา
     และท้ายสุดสำหรับอาหารเป็นยาฉบับนี้คงต้องกล่าวคำขออภัยหากบทความของดิฉัน ได้ก้าวล่วงต่อผู้เสียชีวิตไปโดยไม่เจตนาด้วยค่ะ



พฤษภกาสร    อีกกุญชรอันปลดปลง


โททนต์เสน่งคง สำคัญหลายในกายมี


นรชาติวางวาย  มลายสิ้นทั้งอินทรีย์


สถิตทั่วแต่ชั่วดี  ประดับไว้ในโลกา"


(สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส : กฤษณาสอนน้องคำฉันท์)