วันพฤหัสบดีที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2553

เรื่องเล่า...สิ่งที่มีค่าที่สุด

เรื่องเล่าที่ได้รับมาจากเพื่อน...เรื่องสิ่งที่มีค่าที่สุด...
          ในอดีตมีวัดแห่งหนึ่งชื่อว่าหยวนยินซื่อทุกวันจะมีอุบาสก อุบาสิกาผู้มีจิตศรัทธาขึ้นมาไหว้พระขอพรเป็นจำนวนมาก กลิ่นธูปควันเทียนมิเคยขาดสาย บนเสาคานหน้าวัดหยวนยินซื่อมีแมงมุมตัวหนึ่งถักใยทำรังอยู่มันได้รับกลิ่นอายแห่งธูปเทียนทุกวัน บำเพ็ญเพียรเป็นเวลาพันกว่าปีแมงมุมจึงเริ่มบังเกิดดวงจิตพุทธญาณ อยู่มาวันหนึ่งพระพุทธองค์ทรงเสด็จสู่วัดหยวนยินซื่อ เห็นว่าที่นี่มีญาติโยมจำนวนมากกลิ่นธูปควันเทียนบูชาไม่เคยขาดก็ทรงปีติยินดียิ่งนักก่อนจะเสด็จออกไปจากวัดพระองค์แหงนพระพักตร์ขึ้นมองอย่างมิได้ตั้งใจก็เห็นแมงมุมบนคานพระองค์ทรงตรัสถามแมงมุมว่า
“เจ้ากับเราได้พบกันนับเป็นบุญวาสนาเห็นแก่ที่เจ้าบำเพ็ญเพียรมาร่วมพันปีเราจักถามคำถามหนึ่งกับเจ้าเจ้าจะว่าอย่างไร”แมงมุมได้พบพระพุทธเจ้าย่อมดีอกดีใจเป็นอย่างยิ่งจึงรีบรับคำพระพุทธองค์ตรัสถามว่า  “ในโลกนี้ สิ่งใดเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุด”  แมงมุมหยุดคิดครู่หนึ่งก็ตอบว่า “สิ่งที่มีค่าที่สุดในโลกนี้ ได้แก่ ‘สิ่งที่มิอาจได้มา’ และ ‘สิ่งที่เพิ่งสูญเสียไป’” พระพุทธองค์ทรงพยักพระพักตร์  และเสด็จจากไป กาลเวลาล่วงเลยไปอีกหนึ่งพันปี  แมงมุมตัวดังกล่าวยังคงบำเพ็ญเพียรอยู่บนคานของวัดหยวนยินซื่อเช่นเดิม  แต่พุทธญาณของมันได้เพิ่มสูงและแก่กล้าขึ้นเป็นอันมาก  วันหนึ่ง  พระพุทธองค์ทรงเสด็จมายังหน้าวัดอีกครั้งตรัสกับแมงมุมว่า  “เจ้ายังสบายดีอยู่ไหม คำถามที่เราถามเจ้าเมื่อหนึ่งพันปีก่อน  เจ้าได้ไตร่ตรองให้ลึกซึ้งยิ่งกว่าเดิมแล้วหรือยัง”  แมงมุม ตอบว่า “ข้าพระองค์ยังคงรู้สึกเช่นเดิมว่า  สิ่งที่มีค่าที่สุดในโลกนี้ได้แก่ ‘สิ่งที่มิอาจได้มา’  และ ‘สิ่งที่เพิ่งสูญเสียไป’”  พระพุทธองค์ตรัสว่า “เจ้าจงตรึกตรองดูให้ดีอีกหน่อย เราจะมาถามเจ้าอีก”  ผ่านไปอีกหนึ่งพันปี   วันหนึ่งเกิดลมพายุอย่างหนัก  พัดเอาน้ำอำมฤตหยดหนึ่งมาเกาะอยู่บนใยของแมงมุมแมงมุมจ้องมองหยดน้ำอำมฤต  ช่างใสสะอาด บริสุทธิ์ กลมกลึง ผ่องแผ้วตามธรรมชาติ ดวงจิตก็บังเกิดความชื่นชอบ  ดังนั้นหลายวันต่อมาขอแค่ลืมตาขึ้นมาเห็นน้ำอำมฤตแมงมุมก็รู้สึกเป็นสุขใจ  ถึงกับรู้สึกว่า นี่เป็นวันเวลาที่มีความสุขที่สุดตลอดระยะเวลาสามพันปี  แต่แล้ว  อยู่ๆ ก็เกิดลมพายุขึ้นอีกครั้ง และพัดเอาน้ำอำมฤตจากไป  แมงมุมรู้สึกเหมือนสูญเสียอะไรสักอย่างไป  รู้สึกเหงาและโศกเศร้าเป็นอย่างมาก
          ขณะ นั้นเอง  พระพุทธองค์ทรงเสด็จมาอีกครั้ง ตรัสถามแมงมุมว่า  “หนึ่งพันปีที่ผ่านมานี้ เจ้าได้ขบคิดคำถามเดิมต่อหรือไม่ ว่าในโลกนี้  สิ่งใดเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุด” แมงมุม นึกถึงน้ำอำมฤต  จึงตอบพระพุทธองค์ด้วยคำตอบเดิมว่า “สิ่งที่มีค่าที่สุดในโลกนี้ได้แก่ ‘สิ่งที่มิอาจได้มา’ และ ‘สิ่งที่เพิ่งสูญเสียไป’ คราวนี้ข้าพระพุทธเจ้ามีความรู้สึกที่ลึกซึ้งกับคำตอบนี้ยิ่งขึ้นกว่าเดิม อีกเป็นทวีคูณ”  พระพุทธองค์ตรัสว่า  “ตกลง ในเมื่อเจ้าคิดเช่นนั้น  เจ้าจงไปเกิดในโลกมนุษย์ดูสักครั้งหนึ่งเถิด!” 

     และแล้วแมงมุมจึงไปเกิดในตระกูลของขุนนางชั้นสูงกลายเป็นธิดาของเศรษฐีบิดามารดาของนางตั้งชื่อให้นางว่า “จูเอ๋อ” (แมงมุม)  เวลาผ่านไปรวดเร็วมากเพียงพริบตาเดียวจูเอ๋อก็เติบใหญ่เป็นอนงค์นางวัยสิบหกปี น่ารักน่าเอ็นดูสวยงามเกินกว่าใคร วันหนึ่ง  องค์ฮ่องเต้ทรงจัดงานเลี้ยงฉลองที่สวนบุปผชาติท้ายพระราชวัง  ให้แก่จอหงวนคนใหม่นามว่า “กานลู่” (อำมฤต)  บรรดา หญิงสาวผู้เป็นราชนิกูล  ลูกหลานขุนนางชั้นสูงจำนวนมาก รวมทั้งจูเอ๋อและองค์หญิงฉางเฟิง (สายลม)  ต่างก็มาร่วมงานโดยพร้อมเพรียงกัน ในช่วงการแสดงจอหงวนคนใหม่ทั้งร่ายบทกลอน ขับทำนองเพลง แสดงความสามารถมากมาย  หญิงสาวในงานทุกคนต่างก็ต้องมนต์เสน่ห์ ชื่นชอบหลงใหลจอหงวนใหม่กันไปตามๆ กัน  แต่จูเอ๋อรู้อยู่แก่ใจดีไม่ได้หึงหวงหรือกระวนกระวายใจแม้แต่น้อย นางรู้ดีว่า  นี่เป็นบุพเพสันนิวาสที่พระพุทธองค์ทรงประทานให้แก่นาง   ท้ายที่สุดผู้ที่จะได้ครองหัวใจของจอหงวนหนุ่ม  ต้องเป็นนางอย่างแน่นอน วันเวลาผ่านล่วงเลยไป  วันหนึ่งขณะจูเอ๋อไปไหว้พระกับมารดา บังเอิญจอหงวนหนุ่มกานลู่  ก็มาไหว้พระเป็นเพื่อนมารดาของเขาเช่นกัน หลังจากจุดธูป  กราบไหว้พระพุทธองค์เสร็จ ผู้ใหญ่ของทั้งสองก็สนทนากัน  จูเอ๋อกับกานลู่เดินมาคุยกันตรงระเบียง จูเอ๋อดีใจมากในที่สุดก็ได้อยู่กับคนที่ตนรักแล้ว แต่ว่าท่าทางที่กานลู่มีต่อจูเอ๋อนั้นไม่ค่อยกระตือรือร้นเท่าไหร่นัก จูเอ๋อถามกานลู่ว่า“ท่านจำไม่ได้แล้วหรือ เรื่องที่เราพบกันบนใยแมงมุมในวัดหยวนยินซื่อเมื่อสิบหกปีก่อน” กาน ลู่ตอบกลับด้วยความงุนงงว่า  “แม่นางจูเอ๋อ ท่านเป็นหญิงสาวที่งดงามมาก อีกทั้งยังน่ารัก  แต่ท่านช่างมีจินตนาการที่ล้ำลึกเหลือเกินนะ” พูดจบก็จากไปพร้อมกับมารดาของเขาเมื่อกลับถึงบ้านจูเอ๋อรู้สึกอึดอัดในใจยิ่งนักในเมื่อพระพุทธองค์ทรงจัดการให้เกิดบุพเพสันนิวาสนี้ขึ้นแล้ว  เหตุใดไม่ทำให้เขาจดจำเหตุการณ์นั้นไว้เล่า กานลู่(อำมฤต)เหตุใดจึงไม่รู้สึกใดๆต่อข้าเลย 
          หลาย วันต่อมา  ฮ่องเต้มีพระราชโองการให้จอหงวนหนุ่มกานลู่อภิเษกสมรสกับองค์หญิงฉางเฟิง   ส่วนจูเอ๋อได้อภิเษกสมรสกับองค์ชายไท่จื่อจือ  ข่าวนี้ประดุจดั่งเสียงฟ้าผ่าเปรี้ยงในยามกลางวัน!   จูเอ๋อตกใจมาก  นางคิดไม่ตกว่า  เหตุใดพระพุทธองค์ทรงทำกับนางเช่นนี้ 
          หลายวันผ่านไป  นางไม่กินไม่ดื่ม ครุ่นคิดอย่างหนักตลอดเวลา จนกระทั่งวิญญาณใกล้ถอดออกจากร่าง  ชีวิตใกล้จะดับสูญ เมื่อองค์ชายไท่จื่อจือทราบข่าว  รีบเสด็จมาเยี่ยมถึงข้างเตียง  พลางบอกกับจูเอ๋อที่กำลังหายใจอ่อนระทวยอยู่ในขณะนี้ว่า  “วัน นั้นในงานเลี้ยงในสวนบุปผชาติ ท่ามกลางหญิงสาวจำนวนมาก  ข้าตกหลุมรักเจ้าในแรกพบ  ข้าเป็นผู้อ้อนวอนเสด็จพ่อ  ขอให้ทรงประทานงานแต่งให้แก่เราสองคน  หากเจ้าต้องเป็นอะไรไป ข้าก็ไม่ขอมีชีวิตอยู่อีกต่อไป!” ว่าแล้วก็ชักกระบี่ออกมาเตรียมฆ่าตัวตาย   ในขณะนี้เอง  พระพุทธองค์ก็เสด็จมา   พระองค์ตรัสกับจูเอ๋อที่วิญญาณกำลังจะออกจากร่างว่า  “แมงมุม เอ๋ย เจ้าเคยคิดบ้างไหมว่า ใครเป็นผู้พาน้ำอมฤต (กานลู่)  มาถึงที่นี่  คือลม (องค์หญิงฉางเฟิง)  ใช่ไหม  ท้ายที่สุดลมก็ย่อมเป็นผู้พาเขาไป   กานลู่จึงเป็นขององค์หญิงฉางเฟิงอยู่แล้ว  สำหรับเจ้า เขาเป็นเพียงส่วนประกอบหนึ่งในชีวิตของเจ้า  เป็นเพียงผู้มาเยือนคนหนึ่งเท่านั้น "ส่วน องค์ชายไท่จื่อจือ เดิมทีเดียวเขาเป็นต้นไม้เล็กๆ  หน้าวัดหยวนยินซื่อ  เขาเฝ้ามองเจ้ามาตลอดสามพันปี  หลงรักเจ้ามาตลอดสามพันปี แต่เจ้ากลับไม่เคยก้มหน้าลงมามองเขาเลย  แมงมุมน้อย เราจักถามเจ้าอีกครั้งว่า ในโลกนี้  สิ่งใดเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุด” หลัง จากแมงมุมเข้าใจความจริงอย่างถ่องแท้  ก็ตาสว่างทันที   นางทูลตอบพระพุทธองค์ว่า “สิ่งที่มีค่าที่สุดในโลก ไม่ใช่ 'สิ่งที่มิอาจได้มา' หรือ 'สิ่งที่เพิ่งสูญเสียไป' แต่ต้องอยู่กับปัจจุบัน  แล้วทะนุถนอมความสุขตรงหน้าเอาไว้ให้ดี”  พูด จบ  พระพุทธองค์ก็เสด็จจากไป  วิญญาณของจูเอ๋อก็กลับเข้าร่าง   นางค่อยๆ ลืมตาขึ้น เห็นว่าองค์ชายไท่จื่อจือกำลังจะฆ่าตัวตาย  จึงรีบห้ามปราม  แล้วสวมกอดเขาด้วยความซาบซึ้ง...
          ความ สุขสูงสุดของคนเราไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าได้ครอบครองอะไร  แต่อยู่ที่กระบวนการขณะไขว่คว้าหาสิ่งๆ  นั้นต่างหาก   สิ่งใดที่ไม่ได้เป็นของคุณ ท้ายที่สุดก็ฝืนลิขิตไม่ได้  

          เมื่ออ่านเรื่องเล่านี้จบลง...ฉันได้ข้อคิดสำหรับตนเองว่า.....
          เราไม่ได้สูญเสียอะไรไปเพราะสิ่งที่เราให้มาตลอดเวลาคือสิ่งมีค่าที่เขาต่างหากได้สูญเสียเมื่อทุกสิ่งปรากฏชัดว่าอะไรจริงและอะไรไม่จริง
          ถ้าให้เลือกระหว่างการที่ไม่ได้ครอบครองเขากับการให้เขาเสียชีวิตและตายจาก เราก็ขอเลือกการไม่ได้ครอบครองเขา นี่คือสิ่งมีค่าในตัวเราที่คงอยู่
          แล้วจะมาคร่ำครวญอะไรเล่าในเมื่อเขาก็ยังอยู่กับใจเราเสมอ 
          การที่เราจะอยู่กับใครก็ตามที่เรารักให้นานที่สุดคือการดูแลตนเองให้ดีเพื่อได้อยู่เห็นเขาไปให้ได้มากที่สุดนั่นเอง
          อย่าทุกข์ให้หนักเพราะแรงแห่งทุกข์ของเราจะไปบั่นทอนบุญบารมีของเขาและลดทอนบุญของเราเองด้วย
          นี่เอง...ความหมดทุกข์และมีสุขกับการไม่ได้ครอบครองสุภาษิต ชาวอเมริกันบอกว่า “เลข 0 หมื่นตัว ก็สู้เลข 1 ตัวเดียวไม่ได้” สุภาษิตนี้บ่งบอกเอาไว้ชัดเจนว่า  อะไรคือสิ่งที่ควรถนอม ควรรักษา ต้องใช้สติปัญญาเป็นตัวแยกแยะ  'สิ่งที่มิอาจได้มา' และ 'สิ่งที่เพิ่งสูญเสียไป' ใช่ว่าจะเป็นสิ่งที่ต้องไขว่คว้าให้จงได้เสมอไป
บรม กวีอังกฤษ  วิลเลียม เบลค (William  Blake) กล่าวไว้ว่า “หนึ่งเม็ดทรายเท่ากับหนึ่งโลกหล้า หนึ่งบุปผาเท่ากับหนึ่งสรวงสวรรค์  ในฝ่ามือเกาะกุมความนิรันดร์  ชั่วพริบตาก็คือชั่วกาลนาน”



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น