วันจันทร์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2553

อาหารเป็นยาฉบับสยามเมืองยิ้ม

อาหารเป็นยา...ฉบับสยามเมืองยิ้ม
ขอกล่าวสวัสดีผู้อ่าน Thaigoodnews ทุกท่าน
ทุกชนชาติและทุกชั้นวรรณะด้วยจะ ได้เข้ากับบรรยากาศการเมืองไทยในขณะนี้ ประเทศไทยของเรากำลังเข้าสู่ฤดูร้อน (ที่จริง ก็ร้อนทุกวันแม้แต่ในฤดูหนาว) คนเมืองร้อนต่างก็ใฝ่ฝันถึงฤดูหนาว คนเมืองหนาวก็ใฝ่ฝัน จะมาเที่ยวในเมืองร้อน  ขนาดมีม็อบอยู่กลางเมืองก็ยังพากันมา ทำให้เกิดความสมดุลย์ ระหว่างเชื้อชาติ โอ้มนุษย์หนอ...ช่างน่ารักน่าเอ็นดูซะจริงๆ

วันนี้ดิฉันก็ยังคงตั้งใจมานำเสนอ “อาหารเป็นยา” อีกวาระหนึ่ง โดยพยายามที่จะ หาวัตถุดิบใกล้ตัวของเรามาใช้ประโยชน์สูงสุดแต่เบียดเบียน ธรรมชาติให้น้อยที่สุดอีกด้วย  แต่ก่อนจะเข้าในเนื้อหาที่นำมาเสนอในฐานะคนไทยคนหนึ่ง ดิฉันขอบอกเล่าความภาคภูมิ ใจ ส่งถึงคนไทยทุกท่านที่อยู่ทั่วโลก  คือสิ่งที่ได้พบเห็นในสังคมไทยเกี่ยวกับการชุมนุมเรียก ร้องสิทธิฯ ทางการ เมือง การได้เห็นภาพลักษณ์ใหม่ของคนภายในประเทศไทยของเราที่ได้ เปลี่ยนแปลงไปอย่างระทึกขวัญ ไม่ว่าจะเป็นการออกมาเรียกร้องของมวลชนจากสีใดก็ตาม ผลงานที่พวกเขา (ทุกสี) ได้ฝากไว้กับประเทศของตนเองก็คือความแตกแยกในสังคม เด็กบางคนเดินตัวลีบเมื่อเหลือบตาไปเห็นเจ้าตีนตบบนโต๊ะครูประจำชั้น ...ทำไม น่ะหรือ? ก็เพราะว่าทุกคืนพ่อและแม่ของเขาไปชุมนุมกับกลุ่มพันธมิตร และเด็กบางคนอีก ห้องที่อยู่ติดกันก็ต้องระทึก เมื่อรู้ว่าครูที่ห้องของเขาก็พกมือตบซึ่งเป็นพันธมิตร ใจของเด็กที่ ต้องระทึก  ก็ด้วยเหตุผลว่ากลัวครูพันธมิตรจะรู้เรื่องที่พ่อและแม่ของเขานั้นอยู่ใน กลุ่มมวล ชนคนเสื้อแดง เด็กตาสีดำๆ เลย...เซ็ง

สิ่งที่ดิฉันบอกว่าภาคภูมิใจนั้น คือการได้มุมมองใหม่บนซากปรักหักพังของบ้าน เมืองและเศรษฐกิจ นั่นก็คือการเลือกข้างหรือเลือกพวก...พวกใครก็พวกมันนั่นเอง ภูมิใจ อย่างไรน่ะหรือ? ประเทศจีนซึ่งถือเป็นพี่ใหญ่ในเอซียมีพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาลยังมีตำนานอัน ลือเลื่องไว้แค่ “สามก๊ก” แต่ประเทศไทยเรามีเนื้อที่เท่าไหร่กันเชียว...เวลานี้แบ่งได้แน่ๆ แล้วถึง “สองก๊ก” กับอีกหนึ่ง “ก๊วน” (ก๊กเหลือง-ก๊กแดง-ก๊วนน้ำเงิน)   อีกไม่นานชาวโลก คงเข้าใจว่าการออกมาชุมนุมคือดัชนีชี้วัดความสุขของพลเมืองไทย  เพราะไม่ว่าใครจะมา เป็นรัฐบาลก็ไม่เคยว่างเว้นจากการประท้วงเรียกร้องกันไม่ รู้จบ (ทีใครก็ทีมัน) ใครเห็นด้วย กับดิฉันช่วยส่งยิ้มแบบชาวสยามให้ด้วยค่ะ สำหรับท่านที่ไม่เห็นด้วยกรุณาเก็บไว้ ในใจก่อน นะคะ ไม่ต้องส่งอะไรมาก็ได้ค่ะ...(เกรงใจ)

พูดพล่ามมากไปจะ ถูกประท้วงจากผู้อ่านเสียก่อน จึงขอเข้ามาที่เนื้อหาหลักวันนี้กันเลย ดิฉันได้เตรียมพืชสมุนไพรชนิดหนึ่งมาให้ได้ลองทำความรู้จัก หรือบางท่านอาจจะได้ เคยทราบกันมาบ้างแล้วนั่นก็คือ “ว่านหางจระเข้” พืชสมุนไพรที่มีให้ได้พบเห็นอยู่ทั่วไป แม้จะต่างขนาดและสายพันธุ์ก็ตาม สรรพคุณของว่านชนิดนี้ที่เด่นชัดคือการสมานแผล ลด อาการอักเสบระคายเคือง ว่านชนิดนี้จึงเป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางในวงการแพทย์และ เวชสำอางที่เกี่ยวกับความงาม 

ว่านหางจระเข้เมื่อนำมาแปรรูปเป็นอาหารจำพวกเครื่องดื่ม เช่นน้ำว่านหางจระเข้ที่ ทำง่ายๆ เพื่อบริโภคในครัวเรือนหรือจำหน่ายกันตามท้องถิ่น จนถึงน้ำว่านหางจระเข้ที่สกัด ทำเป็นอุตสาหกรรมเพื่อการค้า แต่ดิฉันจะขอนำเสนอการบริโภคว่านหางจระเข้แบบ ภูมิ- ปัญญาไทย ไม่ต้องไปผ่านกระบวนการอะไรให้เกิดเป็นต้นทุน และยังเป็นการลดขยะช่วย โลกได้อีกทางหนึ่ง ปกติเนื้อใสๆ ของว่านหางจระเข้จะมีเมือกค่อนข้างมาก และมีกลิ่นของ พืชที่บางท่านอาจไม่คุ้นเคย จึงมานำเสนอวีธีทำที่สะดวกและรับประทานง่าย ได้ทั้งรสชาติ และคุณค่าอาหารที่เป็นยาไปในคราวเดียวกัน

การเตรียมว่านก่อนนำไปประกอบอาหาร (ได้ทั้งคาวและหวาน)

- นำว่านมาปอกเปลือกออกให้หมด แช่น้ำไว้ให้หมดยางสีเหลืองๆ (สวมถุงมือหาก ไม่แน่ใจว่าแพ้ยางของว่านหรือไม่)

- ล้างด้วยน้ำสะอาดให้หมดเมือก นำเนื้อวุ้นทั้งชิ้นลงไปลวกในน้ำเดือดสักครู่สังเกตุ ดูว่าผิวของเนื้อวุ้นเริ่มมีสีขาวจึงนำขึ้นพักไว้

- นำชิ้นว่านมาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ตามต้องการ สำหรับนำไปปรุงเป็นอาหารได้ทั้งคาว และหวาน แล้วแต่ใครจะสร้างสรรค์ บริโภคได้ทุกชนชั้น รับประทานกันได้ทุกสี (เสื้อ) เลย ค่ะ

เมนูที่นำเสนอ 3 รายการในวันนี้ คือการเริ่มต้นรับประทานว่านหางจระเข้ในรูป แบบของหวาน ว่าน+ลอดช่องไทยน้ำกระทิ / ว่าน+ซ่าหริ่ม / ว่าน+เฉาก๊วย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น